Sunday, August 29, 2010

รู้ทันมิจฉาชีพ ตอนที่ 3 ท่านคือผู้โชคดี !!

ช่วงนี้ มิจฉาชีพออกอาละวาดกันอีกแล้ว งานดีๆ ไม่ชอบทำกันค่ะ ไรสังคมพวกนี้ชอบหาเงินบนความทุกข์ยากของผู้อื่น และส่วนมาก จับตัวผู้กระทำความผิดไม่ได้เสียด้วย พวกเราชาวสุจริตชนจึงต้องระมัดระวังรักษาทรัพย์กันเอาเองค่ะ

กระแสบอลโลกที่ผ่านมาแรงมากค่ะ ทำให้เกิดกลุ่มมิจฉาชีพออกมาแจกรางวัลกันเต็มไปหมด สำหรับวันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้โชคดี ที่ได้รับรางวัลจากการชิงโชค หรือทายผลบอล หรือจากการสุ่มแจกรางวัล หรือแม้แต่จากการสุ่มหยิบจากไปรษณียบัตรที่ไม่ได้รับรางวัลจากการทายผลบอล เป็นต้น

โดยกลุ่มมิจฉาชีพ จะโทรศัพท์มายังท่านและอ้างว่าเป็นบริษัทใหญ่ที่ชื่อคุ้นหูกันดี เช่น กระทิงแดง หรือมาม่า เป็นต้น และแจ้งว่า ท่านเป็นผู้โชคดี

มีคนขับรถแท็กซี่ท่านหนึ่ง ได้รับโทรศัพท์ติดต่อเข้ามาทางโทรศัพท์เคลื่อนที่(มือถือ)ของเขา และได้รับแจ้งว่า กระทิงแดงแจกโชคให้กับผู้ขับรถแท็กซี่ โดยให้แท็กซี่ป้ายแดงใหม่เอี่ยมอ่อง 1 คัน ให้เขาไปรับรางวัลได้ที่เซ็นทรัลบางนา แต่เขาจะต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายก่อน 5% จากมูลค่ารถ

กลุ่มมิจฉาชีพที่อ้างตนว่าเป็นบริษัทกระทิงแดง จะบอกเลขที่บัญชี ให้โอนเงินค่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายในชื่อบุคคลธรรมดา แถมด้วยการอำนวยความสะดวกว่า สามารถโอนผ่าน ATM ตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ และให้เหตุผลที่ดูเหมือนจะน่าเชื่อถือว่า เมื่อชำระค่าภาษีทางตู้ ATM แล้ว ให้นำสลิปมาที่เซ็นทรัลบางนา เพื่อขอรับรางวับได้ทันที

อีกท่านหนึ่ง ได้รับโทรศัพท์แจกทองจากการทายผลบอล และให้ชำระค่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายก่อนอีกเช่นกัน

ข้อควรสังเกต
1. ท่านจะเป็นผู้โชคดี (ที่โดนหลอก)
2. จะได้รับรางวัลจากการชิงโชค หรือทายผล หรืออะไรสักอย่าง ส่วนมากจะเป็นรถยนต์ และสร้อยคอทองคำ
3. หากท่านสงสัยว่ารางวัลจากที่ไหน อย่างไร มิจฉาชีพจะแก้ตัวว่า เป็นพนักงานที่ได้รับมอบหมายให้ติดต่อกับผู้โชคดีเท่านั้น รายละเอียดไม่ทราบ หรืออาจย้อนถามท่านว่า ท่านได้เคยชิงรางวัล หรือทายผลบ้างไหม หรืออาจจะมีใครส่งชื่อท่านมาก็ได้
4. มิจฉาชีพจะให้ท่านโอนเงินค่าภาษีก่อน โดยบัญชีที่ท่านต้องโอน มักเป็นชื่อบุคคลธรรมดา
5. มิจฉาชีพ มักให้ท่านโอนผ่านตู้ ATM และใช้ความรวดเร็วในการบอกให้ท่านกดปุ่มโน้นนี้ เพื่อโอนเงิน มิจฉาชีพไม่นิยมให้โอนทางเคาน์เตอร์ธนาคาร เพราะคุณอาจมีการปรึกษาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ธนาคาร หรือคนข้างเคียงได้

ข้อควรรู้

โดยปกติแล้ว หากท่านได้รับการแจกรางวัลจริงๆ ทางบริษัท จะติดต่อท่านมา พร้อมกับบอกให้ท่านนำเงินสด หรือแคชเชียร์เช็คมาชำระภาษีหัก ณ ที่จ่าย 5% ตามมูลค่าของรางวัลที่ท่านได้รับ โดยรางวัลที่ท่านได้รับนั้น ถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร

แน่นอนอยู่แล้ว ที่ท่านจะต้องเสียภาษี แต่จงจำไว้ว่า บริษัท จะให้ท่านนำมาชำระ ณ สถานที่ที่ท่านรับรางวัล และหากจะต้องมีการถ่ายรูป หรืออัดรายการ จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงานกับท่านเป็นกิจลักษณะมากกว่านี้ และหากบางบริษัทจำเป็นต้องให้ท่านชำระเงินภาษี ก็จะต้องเป็นการโอนเข้าบัญชีบริษัท มิใช่ในนามส่วนตัว และทำการส่งมอบทรัพย์สินแล้วเท่านั้น

คิดถึงหลักความจริงที่ว่า ท่านยังไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย ทำไมท่านจะต้องชำระภาษีก่อนละ ??

วิธีแก้ปัญหา
1. มีสติ ไตร่ตรอง ทบทวน
2. พยายามถามข้อมูลเขากลับ ตั้งข้อสงสัยให้มาก หรือขอชื่อ พร้อมเบอร์โทรติดต่อกลับ โดยอาจจะอ้างว่า ขณะนี้ยังไม่สะดวกจะพูดสาย แต่จะขอติดต่อกลับ
3. หากบอกให้โอนเงินทาง ATM ให้บุคคลธรรมดา ให้จั่วหัวไว้เลย ว่า มันมาหลอกเราแน่ๆ
4. หากไม่แน่ใจ หรืออยากลองลุ้นดู ให้ไปยังสถานที่ที่จะรับรางวัล หรือติดต่อกลับไปยังบริษัทที่เขาอ้าง(หาเบอร์ที่ถูกต้องนะคะ อย่าโทรเบอร์ที่เขาให้กลับมา)
5. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ยังไม่ทันได้รับ จะมาหักได้ไง
6. อย่าโลภ จนทำให้เสียทรัพย์

เรื่องแบบนี้ มีให้เห็นบ่อยๆ ฝากเตือนภัยกันต่อๆ ไปด้วยนะคะ

Saturday, March 13, 2010

10 วิธี น้ำหนักลด โดยไม่รู้ตัว !

10 Easy Ways to Burn Calories

ทุกๆ 7700 cal ที่คุณรับประทานเกินความต้องการของร่างกาย น้ำหนักคุณจะเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม หากคุณต้องการลดน้ำหนัก ไม่ควรลดเกิน 500 cal ต่อวัน เพื่อให้ไม่เกินอันตรายต่อการขาดสารอาหาร อ่อนเพลีย จนในที่สุด กลไกของสมองก็อาจจะสั่งให้คุณต้องทานเข้าไป(เพื่อป้องกันการอดตาย)เปลี่ยนการใช้แคลอรี่เป็นน้อยลง เพื่อสะสมไขมัน(กันตายอีก!) และเมื่อคุณกินเข้าไป แต่ร่างกายถูกปรับให้เผาผลาญน้อยลง มันก็จะไปเก็บเป็นเซลล์ไขมัน ซึ่งก็คือปฎิกิริยา โยโย่ เอฟเฟ็ค (Yo Yo effect)

การลดเกิน 1200 cal นั้น สามารถทำได้ หากอยู่ในความดูแลของแพทย์และนักโภชนาการ แต่ทางที่ดี ลดช้าๆ แต่ชัวร์ ดีกว่าใจร้อน จนทำให้เกิด Yo Yo effect

ในการลดน้ำหนักช่วงต้น น้ำหนักจะลงค่อนข้างเร็ว และหลังจากนั้นจะอยู่ในช่วงค่อยๆ ลดอย่างช้าๆ ถึงช้ามากๆ อย่าใจร้อนนะคะ ช้า...แต่ว่ายั่งยืนค่ะ เกริ่นมาซะยาว มาดูวิธีแอบเบิร์นแคลอรี่ (calories burn) กันดีกว่าค่ะ

1. ลุกขึ้นมา ปัดกวาดเช็ดถูห้อง หรือบ้านของคุณ(ด้วยตัวเองนะ ไม่ใช่ใช้คนอื่นทำ) ห้ามเปิดแอร์ทำ ทำไปเรื่อยๆ ให้ได้เกินกว่า 20 นาทีขึ้นไป

2. หากคุณออกกำลังกายในยิมหรือฟิตเนสอยู่แล้ว หรือมีเครื่องออกกำลังกายที่บ้าน ก็แค่เล่นเพิ่มไปอีก 10 นาที

3. นั่งดูโชว์ ดูละคร ดูข่าวอยู่หน้าทีวี ทุกช่วงเบรคโฆษณา ก็ลุกขึ้นมาบิดซ้ายขวา วิ่งรอบทีวี รอบห้อง ซิทอัพ วิดพื้นกันไป รายการมาค่อยดูต่อ

4. วันหยุด อย่าอยู่บ้านเฉยๆ หากิจกรรมทำ(ที่ไม่ใช่กินบุฟเฟต์) พาพ่อแม่ไปเที่ยวเล่น พาลูกไปสวนสนุก ไปทะเล หรือไปทำบุญทำกุศลซะบ้าง ครอบครัวอบอุ่น จิตใจเบิกบานแล้วยังได้ผลาญไขมันอีกต่างหาก

5. หากอยู่ที่ทำงานต้องนั่งติดเก้าอี้ตลอด ทุก 1ชั่วโมงก็ยืดเส้นสายสัก 3-5 นาที นั่งไขว้เท้าสลับ ซ้าย ขวา เกร็งหน้าท้อง ใช้มือดันกันเบาะนั่งยกตัวขึ้นเกร็งหน้าท้อง หรือจับพนักพิงหลังแล้วเอี้ยวตัวบิดซ้ายขวา สำหรับเก้าอี้ที่เป็นล้อ ท่านอาจจะลื่นล้มให้ได้อายจนเบิร์นแคลอรี่ได้มากขึ้น
ผู้เขียนเคยนั่งทำบนรถไฟฟ้า คนมอง เราก็ยิ้มให้ คิดจะสวยสุขภาพดีก็อย่าได้แคร์ค่ะ

6. ทำงานออฟฟิสเดียวกันเปลี่ยนจากส่งอีเมล์หากัน เป็นเดินไปคุยงาน ไปปรึกษางานกันต่อหน้าเลยดีกว่า ไม่ต้องกลัวเปลืองพลังงาน (เปลืองๆ สิดี จะได้ลดน้ำหนัก) หากอยากให้มีลายลักษณ์อักษร ตอนเดินไปคุยก็บอกไปเลยว่า เดี๋ยวจะส่งอีเมล์ตามมานะคะ ช่วยส่งกลับคอนเฟิร์มให้ด้วยค่ะ

7. ขึ้นลงไม่กี่ชั้น ใช้บันได(หากคุณไม่ได้มีปัญหาเกี่ยวกับหัวเข่าและข้อเท้า) ผู้เขียนเคยเดินขึ้นบันได 13 ชั้น ทุกวัน วันแรกๆ รู้สึกเหนื่อย หอบ หมดแรง แต่หลังจากนั้นไม่นานก็เหนื่อยน้อยลง จนกลายเป็นไม่เหนื่อย เดินได้นาน แข็งแรงขึ้นด้วยค่ะ

8. ไปซื้อของใกล้ๆ เดินไปดีกว่า สองป้าย สามป้ายรถ 500 เมตร หรือ 1 กิโลเมตร ก็เดินเอา

9. หากไปซื้อของไกล เวลาจอดรถในห้าง จอดให้ไกลขึ้น จะได้เดินมากขึ้นไง

10. ใช้ตะกร้าในการช้อป ไม่ใช้รถเข็น หิ้วสลับซ้ายขวายกขึ้นลงเล็กน้อย ได้กล้ามแขนด้วยนะ

อ้อ! ที่สำคัญ น้ำเปล่าสะอาดๆ ค่อยๆ ดื่ม ดื่มทั้งวันให้ได้ 8 - 10 แก้ว(กรุณาอย่าซดโฮก เพราะร่างกายจะขับออกทันที และไตจะทำงานหนัก) น้ำสะอาดจะปรับสมดุลในร่างกาย ชำระล้างของเสียออกจากร่างกาย ควบคู่กับทานอาหารที่มีประโยชน์ จะเห็นผลเร็วขึ้นค่ะ

10 วิธีง่ายๆ ทำได้บ่อย ไม่ยุ่งยาก ได้ผลอย่างไร อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังนะคะ



** แคลอรี่ที่ร่างกายของมนุษย์จำเป็นต้องใช้ในแต่ละวัน ขึ้นอยู่กับ เพศ น้ำหนัก ส่วนสูง อายุ และกิจกรรมที่ทำ ท่านสามารถตรวจสอบปริมาณแคลอรี่ที่ใช้ได้ที่
http://walking.about.com/cs/calories/l/blcalcalc.htm **

Friday, January 29, 2010

การกรน - ภัยร้ายที่คุณอาจคาดไม่ถึง

การกรน

การกรนมีหลายประเภท สามารถแบ่งออกได้เป็น

1. กรนธรรมดา: ผู้ป่วยมักไม่เดือดร้อน แต่คนรอบข้างเดือดร้อนจากเสียงดัง หรือผู้ป่วยอาจเดือดร้อนในการเข้าสังคมร่วมกับผู้อื่น
2. กรนอันตราย: ผู้ป่วยและคนรอบข้างเดือดร้อน ถ้าไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยอาจมีอาการง่วงมากผิดปกติในเวลากลางวัน ทำให้เรียนหรือทำงานได้ไม่เต็มที่ ถ้าต้องขับรถอาจเกิดอุบัติเหตุในท้องถนนได้ นอกจากนั้นจะมีอัตราเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคอื่นๆได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันจากการขาดเลือด ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคความดันโลหิตในปอดสูง โรคหลอดเลือดในสมอง และอาจมีอายุสั้น อยู่ได้ไม่นาน โดยเฉพาะถ้าดัชนีหยุดหายใจและหายใจแผ่วเบาต่อชั่วโมงมากกว่าหรือเท่ากับ 20 ครั้งในหนึ่งคืน

การรักษา
การรักษามี 2 ทางเลือก คือ วิธีไม่ผ่าตัด และวิธีผ่าตัด ซึ่งท่านสามารถเลือกได้เพราะการรักษาอาการนอนกรนและ/หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเสมอไป ในที่นี้อยากแนะนำให้ใช้วิธีไม่ผ่าตัดก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นหรือไม่ชอบหรือไม่สะดวก ท่านสามารถเลือกวิธีผ่าได้ภายหลังได้

วิธีไม่ผ่าตัด
1. ลดน้ำหนัก ถ้าน้ำหนักตัวเกินมาตราฐาน ควรลดน้ำหนักเนื่องจาก ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมาตราฐาน จะมีไขมันมาพอกรอบคอ ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบน ตีบแคบ การลดน้ำหนัก จะช่วยลดไขมันดังกล่าว ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนกว้างขึ้น

2. ให้ทดลองใช้เครื่องเป่าลมในทางเดินหายใจส่วนบน (CPAP) ปกติเวลานอนเพดานอ่อนและลิ้นไก่ที่ยาว และโคนลิ้นที่โต จะตกลงมาบังทางเดินหายใจส่วนบน ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบ ลมที่เป่าเข้าไป จะไปถ่างทางเดินหายใจให้กว้างออก ทำให้ไม่มีการอุดกั้นทางเดินหายใจ ผู้ป่วยไม่กรน และไม่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ ปัจจุบันตัวเครื่องมีขนาดเล็กสามารถพกพาได้ค่อนข้างสะดวก การใช้เครื่องเป่าลมจะเหมือนกับการใส่แว่นตาใหม่ๆ คืออาจจะรู้สึกอึดอัดบ้างในช่วงแรก ต้องใส่ๆ ถอดๆ เมื่อชินก็จะใส่ได้เอง

ควรใช้เครื่องปรับอากาศให้อุ่นและชื้นขึ้น (HUMIDIFIER)ร่วมด้วยเสมอ เพราะการที่ลมเป่าจมูกเรื่อยๆ ถ้าเป็นลมแห้งและเย็น (โดยเฉพาะถ้านอนเปิดพัดลม หรือ แอร์) จะทำให้เยื่อบุจมูกบวม เกิดอาการคัดจมูกได้ง่าย ซึ่งจะทำให้เครื่องเป่าลมเย็นต้องเพิ่มความดันมากขึ้น ในการที่จะเอาชนะโพรงจมูกที่ตีบแคบ อาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอึดอัดมากขึ้นได้

3.ใส่ที่ครอบฟัน แนะนำให้ปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำเครื่องครอบฟัน (Oral Appliance) ปกติเวลานอนหงาย ขากรรไกรล่างและลิ้นจะตกตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนตีบแคบ การใส่เครื่องครอบฟันจะช่วยยึดขากรรไกรบนและล่างเข้าด้วยกัน และเลื่อนขากรรไกรล่างมาทางด้านหน้าและป้องกันไม่ให้ลิ้นและขากรรไกรตกลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งจะทำให้ทางเดินหายใจส่วนบนกว้างขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีปัญหานอนกรนธรรมดาหรือเป็นกรนอันตรายที่มีความรุนแรงอยู่ในระดับน้อยถึงปานกลาง (ดัชนีหยุดหายใจและหายใจแผ่วเบาน้อยกว่า 30 ครั้งต่อชั่วโมง)

วิธีผ่าตัด
1. การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อนและลิ้นไก่โดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency-Assisted Uvulopalatoplasty:RAUP) - ผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดแก้ไขอาการนอนกรน โดยเอาเนื้อเยื่อที่หย่อนยานบริเวณลิ้นไก่และเพดานอ่อนออกทีละน้อย โดยใช้คลื่นความถี่วิทยุ ซึ่งจะทำให้ทางเดินหายใจบริเวณคอหอยกว้างขึ้น โดยการใช้ยาชาเฉพาะที่
ข้อดี: อาการปวดหรือเจ็บแผลหลังผ่าตัดน้อยกว่าการใช้แสงเลเซอร์ผ่าตัด ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้หลังผ่าตัดโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
หลังผ่าตัด: จะมีแผลที่ผนังในคอทั้งสองข้าง อาจมีอาการเจ็บคอจากแผลผ่าตัด หรือมีไข้ ควรทานอาหารเหลวที่เย็น หรืออาหารอ่อนๆ
ภาวะแทรกซ้อน: เลือดออกจากแผลผ่าตัด แผลผ่าตัดติดเชื้อ แต่พบได้น้อย

2. การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อนและลิ้นไก่ Uvulopalatopharyngoplasty (UPPP) - ผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดแก้ไขโดยเอาต่อมทอนซิล ลิ้นไก่ และเนื้อเยื่อที่หย่อนยานบริเวณผนังคอหอยออกทางปากโดยไม่มีแผลภายนอก ใช้วิธีดมยาสลบ ซึ่งจะทำให้ทางเดินหายใจบริเวณคอหอยกว้างขึ้น
ก่อนผ่าตัด: ต้องเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาลก่อนหนึ่งวันเพื่อเตรียมความพร้อมในการดมยาสลบ บางรายแพทย์อาจแนะนำให้นอนห้อง ICU หลังผ่าตัด 1 คืนเพื่อสังเกตการหายใจหลังผ่าตัด
หลังผ่าตัด: จะมีแผลและวัสดุเย็บแผลที่ผนังในคอทั้ง 2 ข้าง อาจมีอาการเจ็บคอจากแผลผ่าตัด หรือมีไข้ ควรทางอาหารเหลวและเย็น
ภาวะแทรกซ้อน: เลือดออกจากแผลผ่าตัด แผลผ่าตัดติดเชื้อ แต่พบได้น้อย ระยะแรกเวลาดื่มน้ำ จะมีสำลักออกจมูกได้บ้าง จึงควรดื่มน้ำและรับประทานอาหารอย่างระมัดระวัง ส่วนใหญ่จะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ

การผ่าตัดไม่ได้รักษาอาการนอนกรนและ/หรือภาวะหยุดหายใจให้หายขาด หลังผ่าตัด อาการนอนกรนหรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจจะยังเหลืออยู่ หรือมีโอกาสกลับมาใหม่ได้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย สิ่งที่สำคัญคือ
1. ต้องควบคุมน้ำหนักตัวให้ดี อย่าให้เพิ่ม เนื่องจากการผ่าตัดเป็นการขยายทางเดินหายใจที่แคบให้กว้างขึ้น ถ้าน้ำหนักเพิ่มหลังผ่าตัด ไขมันก็จะไปสะสมอยู่รอบผนังช่องคอ ทำให้ช่องคอกลับมาแคบใหม่ได้ ทำให้อาการนอนกรนหรือหยุดหายใจกลับมาใหม่ได้
2. ต้องหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ให้กล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนตึงตัวและกระชับ


ข้อมูล: ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ผศ.นพ.ปารยะ อาศนะเสน

Saturday, January 16, 2010

สูตรชลอความชรา...ไม่อยากแก่เชิญทางนี้

พูดถึงความแก่ แน่นอนว่าทุกคนคงหลีกเลี่ยงมันไม่ได้ สำหรับบางท่านอาจเห็นว่าเรื่องนี้ไร้สาระ ไม่มีใครเอาชนะแรงดึงดูดได้... แต่หลายท่านคงไม่อยากดูแก่กว่าวัยจริงไหมคะ

ถ้ามีคนมาทักเราว่า ดูแก่กว่าวัยนะ ทำไมเหี่ยวแล้วล่ะ ไปทำอะไรมาทำไมโทรมจัง แค่นี้ จิตใจเราก็หดหู่ แย่ไปตามร่างกายทันที แหม...มนุษย์ปุถุชน มันก็มีคิดมากกันบ้าง

ประโยชน์ของการดูแลตัวเองให้ดูอ่อนกว่าวัย จึงไม่ใช่ด้านร่างกาย แต่ทำให้จิตใจเราเบิกบานด้วยนะคะ

สูตรเด็ด ไม่แต่ลับ เพื่อชลอความชรา พูดง่ายๆ ก็คือ เคล็ดลับง่ายๆ สำหรับคนไม่อยากแก่ เชิญทางนี้ค่ะ

1. คุณต้องบอกตัวเองว่า "ฉันไม่อยากแก่ !!!"

ทำไมต้องบอกตัวเอง ?? ก็เพื่อให้เรามีแรงผลักดันที่จะทำตัวให้ look young ไม่ดูแก่ยังไงล่ะ ให้เราได้เตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจกันเลยทีเดียว.. เหมือนกับการสะกดจิตตัวเอง(ไม่ใช่หลอกตัวเองนะ)
ลองพูดคุยกับคนที่อายุน้อยกว่า เพื่อดูทัศนะคติ(ในแง่บวกนะ)ของวัยรุ่น มุมมองต่างๆ ความสดชื่น ร่าเริง กระฉับกระเฉงของคนเหล่านี้ มันน่าอิจฉาใช่ไหมล่ะ... คุณเองก็ทำได้นะ...

2. คิดบวก ลดเครียด

อย่าดูถูกความเครียด มันทำให้เราแก่กว่าวัยเร็วมาก... เมื่อเครียด เราจะขมวดคิ้ว ย่นปาก เบ้หน้า บ่อยๆ เข้าก็ทำให้หน้าเกิดริ้วรอย ผมหงอกเร็ว เซลร่างกายเสื่อม จิตใจหดหู่ ..บางคนเวลาเครียดจะกินจุบจิบ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หรือในบางรายก็ไม่ทานอาหารเลย... มันทำให้ร่างกายยิ่งโทรมนะคะ

เริ่มต้นที่ความคิดก่อน คิดให้บวก ในระยะแรกๆ อาจจะยากค่ะ พยายามหาเพื่อนฮาๆ อย่าคิดว่ามันไร้สาระเลย เพื่อนเหล่านี้ช่วยคุณหายเครียดได้ ฮาอย่างเดียวนะคะ อย่าชวนกันไปดื่มเหล้า หรือชวนกันประชดชีวิตให้เสียคน หรืออาจหาทางระบายออกของความเครียด ดูหนัง ฟังเพลง ระบายกับเพื่อน ตะโกนออกมาดังๆ ไปพักผ่อน อยู่กับธรรมชาติ อะไรก็ตามที่ทำให้คุณโล่ง โปร่ง สบาย หายเครียด เต็มที่เลยค่ะ

3. ทานอาหารต้านความชรา

อาหารดีๆ ที่มีสารต้านอนุุมูลอิสระ (antioxidant) อยู่รอบตัวเราค่ะ โดยส่วนตัวผู้เขียนแล้ว ชอบดื่มน้ำแครอทคั้นจากเครื่องแยกกากค่ะ ดื่มวันเว้นวันเลยทีเดียว สลับกับน้ำส้มคั้นสด น้ำเสาวรส น้ำฝรั่ง ปริมาณที่ดื่มต่อวันไม่มากเกินไป เพราะอาจทำให้อ้วนจากแคลอรี่เกิน(exceed calorie intake) และแครอทีน (carotene) จากน้ำแครอทมากไปจะทำให้ตัวออกเหลืองๆ ค่ะ อะไรที่มากไปไม่ดีทั้งนั้น

ผัก และ ผลไม้ ที่สด สะอาด และหลากหลายชนิด คือคำตอบของอาหารต้านชรา เพราะเปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ กล่าวคือ วิตามินสูงช่วยให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ มีกากใยช่วยเรื่องการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย มี ไฟโตนิวเทรียน (phytonutrient : phytochemical หรือสารเคมีตามธรรมชาติที่อยู่ในพืชผักผลไม้) ซึ่งเป็นสารให้สีในผักผลไม้ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (หากมีเวลาจะอธิบายเพิ่มเติมให้เป็นหัวข้อเฉพาะ)

ทำไมผักผลไม้ต้องหลากหลายชนิด ? ...ก็เพราะสีที่แตกต่างกันออกไปก็ให้วิตามินและไฟโตนิวเทรียนต่างกันไปด้วย จึงควรทานให้หลากหลายค่ะ.... (แน่นอนว่า หากมีเวลาจะเขียนให้ค่ะ)

4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายทำให้เราแข็งแรง สดชื่น ไม่เหนื่อยง่าย ทำอะไรก็กระฉับกระเฉงว่องไว หลายท่านคงทราบกันดีอยู่แล้ว การออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้ร่างกายเราแข็งแรง หุ่นเฟิร์ม เซลล์ร่างกายแข็งแรง ทำอะไรก็ไม่เหนื่อยง่ายแล้ว ในขณะที่ท่านออกกำลังกายจะก่อให้เกิดสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphine) ซึ่งเป็นสารระงับความเจ็บปวด และทำให้คลายกังวล ซึ่งจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น สดชื่นขึ้น

นอกจากการออกกำลังกายแล้ว ร่างกายจะผลิตสารเอ็นดอร์ฟินขึ้นเมื่อ เกิดความเจ็บปวด เมื่อทานอาหารรสเผ็ดร้อน และการร่วมรักที่สุขสม ร่างกายสดชื่น อารมณ์แจ่มใส ชลอความชราได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

5. นอนหลับให้เพียงพอ

ร่างกายจะซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในยามที่เราหลับค่ะ ในระหว่างที่เราได้หลับ อาหารดีๆ วิตามินทั้งหลาย จะเข้าไปเสริมสร้าง และซ่อมแซมทันที

นอนกี่ชั่วโมงถึงจะพอ.... ร่างกายแต่ละท่านต้องการไม่เหมือนกันค่ะ บางท่านหลับลึก ประมาณ 4-6 ชั่วโมงเขาก็สดชื่นแจ่มใสเต็มที่แล้ว แต่บางท่าน อาจต้องพักผ่อนนานถึง 8 ชั่วโมง... สำหรับท่านที่มีปัญหากับการนอนหลับ หลับไม่ลึก หยุดหายใจขณะนอนหลับ และท่านที่เครียดมากๆ จะทำให้นอนไม่พอ จนก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพด้านอื่นๆ เรื้อรังตามมา ต้องรีบรักษาและหาทางแก้ไขนะคะ

6. น้ำสะอาด อากาศบริสุทธิ์

ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุดค่ะ ชา กาแฟ น้ำอัดลม ไม่ดีต่อสุขภาพ น้ำสะอาดจะช่วยขับพิษหรือของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ดื่มน้ำบ่อยๆ ให้ได้วันละประมาณ 6-8 แก้วต่อวัน จะช่วยให้เซลร่างกายไม่ขาดน้ำ ผิวพรรณจะสดใสค่ะ วิธีดื่มก็ต้องดื่มทั้งวัน ไม่ใช่ดื่มรวดเดียว 3 แก้ว เพราะจะทำให้ไตทำงานหนัก ร่างกายจะขับน้ำส่วนเกินออกทันที ต้องค่อยๆ ดื่ม ดื่มทั้งวันให้ร่างกายได้นำน้ำไปใช้ ให้เซลทั้งหลายได้ดูดซึมน้ำค่ะ

อากาศก็เป็นสิ่งสำคัญ อากาศที่สะอาดบริสุทธ์ จะทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารพิษ(อนุมูลอิสระ) เข้าไปเพิ่ม เราก็ไม่เจ็บป่วยด้วยค่ะ อย่าลืมว่าเซลต่างๆ ในร่างกายเรา ต้องการอาหาร น้ำ และอากาศอ่ะ

7. หยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้กัน

ข้อนี้ทำได้ไม่ยากเลยค่ะ แค่มอบความรัก ความห่วงใย ความอาทร ความเอาใจใส่ มันช่วยให้เรารู้สึกยินดี รู้สึกเบิกบานใจ มีความสุขจากข้างใน มันจะแสดงออกมาทางสีหน้า แววตา ผิวพรรณ ยามกิน ยามนอน ยามตื่น ก็สุขกายสบายใจ ไม่ต้องกลัวใครคิดร้าย ไม่ต้องกังวลใจ ยิ้มแย้มแจ่มใสแบบนี้ นอกจากจะ look good แล้ว ยัง look young (at heart) ด้วยนะคะ



สูตรดีๆ แบบนี้ บอกต่อๆ กันไปค่ะ...


.........................

Friday, December 18, 2009

วีซ่าญี่ปุ่น ไม่ใช่เรื่องยาก...

หลายคนมีแผนจะไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นกัน สำหรับผู้ที่ต้องการไปยลความงามของซากุระ ทางรัฐบาลญี่ปุ่นคาดการไว้ว่า ปี 2010 หรือ 2553 นี้ ซากุระจะเริ่มบานประมาณสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ไปจนถึงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน เมื่อวางแผนว่าจะไปแล้ว เราก็ต้องมาเตรียมความพร้อมด้านเอกสาร เพื่อขอเข้าประเทศญี่ปุ่นกันค่ะ

สำหรับท่านที่ขอวีซ่าญี่ปุ่นครั้งแรก ไม่ต้องตกใจค่ะ วีซ่าญี่ปุ่นไม่ยากอย่างที่คิด หากท่านเตรียมตัวและเอกสารทั้งหมดพร้อม วีซ่าของท่านจะสำเร็จลุล่วงภายใน 3 วันทำการค่ะ

ท่านที่ยังไม่มีพาสปอร์ต ต้องไปขอทำพาสปอร์ตก่อนนะคะ ซึ่งระยะเวลาในการขอพาสปอร์ตก็ไม่นานค่ะ ปัจจุบันขั้นตอนรวดเร็ว และสะดวกขึ้นมากค่ะ ถ้าท่านมารับเองใช้เวลาประมาณ 2 - 3 วันทำการ ส่งไปรษณีย์จะประมาณ 5-7 วันค่ะ แต่ต้องเผื่อเวลาไว้กรณีที่ช่วงฤดูท่องเที่ยว จะมีคิวทำพาสปอร์ตยาวมาก

ในที่นี่ จะขอกล่าวแค่เฉพาะวีซ่าท่องเที่ยวนะคะ เมื่อท่านได้พาสปอร์ตมาแล้ว หรือมีอยู่แล้ว เรามาเริ่มต้นการขอวีซ่ากันเลยค่ะ

เอกสารที่ต้องเตรียม

  1. หนังสือเดินทางที่ไม่มีตราประทับมากกว่า 2 หน้าขึ้นไป หากมีหนังสือเดินทางเล่มเก่า กรุณานำมาแสดงด้วย
  2. ใบคำร้องขอวีซ่า 1 ใบ(ดาวน์โหลดได้จาก http://www.th.emb-japan.go.jp/th
  3. รูปถ่าย (ขนาด 2 x 2 นิ้ว สีหรือขาวดำ ที่มีพื้นหลังเป็นสีอ่อน ไม่มีลวดลาย ไม่มีการแต่งภาพถ่าย จะต้องเป็นรูปถ่ายที่ชัดเจนและถ่ายมาไม่เกิน 6 เดือน) 1ใบ
  4. แบบสอบถามเพื่อการยื่นขอวีซ่า (กรุณากรอกโดยเลือกตามวัตถุประสงค์ที่จะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น และลงลายเซ็นตามหนังสือเดินทาง) 1ใบ
  5. ทะเบียนบ้าน ฉบับจริงและสำเนา 1 ชุด
    • ในกรณีที่ผู้ยื่นเป็นพนักงานหรือข้าราชการ ให้แสดงหนังสือรับรองการทำงานจากหน่วยงานที่สังกัด (ให้ระบุตำแหน่ง, วันเริ่มทำงาน, อัตราเงินเดือน และระยะเวลาวันลาพักร้อน)
    • ในกรณีที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว ให้แสดงหนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัทหรือทะเบียนการค้าจากกระทรวงพาณิชย์
    • ใน กรณีนักเรียนนักศึกษาที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ให้แสดงหนังสือรับรองสถานภาพการเป็นนักเรียนนักศึกษา และหนังสือรับรองการทำงานหรือหนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัทหรือทะเบียนการ ค้าของผู้อุปการะ
    • ในกรณีผู้อยู่ภายใต้อุปการะเลี้ยงดู เช่น แม่บ้านที่ไม่ได้ทำงาน ให้แสดงหนังสือรับรองการทำงานหรือหนังสือรับรองจดทะเบียนบริษัทหรือทะเบียน การค้าของผู้อุปการะ
    (เอกสารทุกอย่างจะต้องออกไม่เกิน 3 เดือน, ในกรณีที่ผู้ยื่นไม่มีอาชีพ หรือประกอบอาชีพที่ไม่สามารถแสดงหนังสือรับรองการทำงานหรือหนังสือรับรองจด ทะเบียนบริษัทหรือทะเบียนการค้าได้กรุณาทำหนังสืออธิบายอาชีพและรายได้ โดยละเอียด) ฉบับจริง 1 ชุด
  6. ผู้ที่เดินทางเป็นครั้งแรก หากเคยเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล หรือผู้ที่ได้เปลี่ยนชื่อตัวหรือสกุลหลังจากเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งที่แล้ว ให้เตรียมเอกสารแสดงการเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล
    เช่น ใบเปลี่ยนชื่อตัว-สกุล, ใบสำคัญการสมรส, ใบสำคัญการหย่า ฉบับจริงและสำเนา 1 ชุด
  7. สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร(ของผู้ยื่นคำร้องหรือของผู้อุปการะ) ฉบับจริงและสำเนา(ทุกหน้า)1 ชุด
    (ใช้สำหรับยื่นในกรณีที่ผู้ยื่นเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย ตัวเอง ยกเว้นสำหรับผู้ยื่นที่เป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัทที่จดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือมหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งมีอัตราเงินเดือนตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไปและสามารถตรวจสอบได้จากหนังสือรับรองการทำงาน ไม่ต้องยื่นสมุดบัญชีธนาคาร ทั้งนี้รวมถึงการยื่นสำหรับครอบครัวในความอุปการะของบุคคลดังกล่าวด้วย)
*ข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย*

หมายเหตุควรรู้

รับคำร้องเวลา : 8.30 - 11.15
ค่าธรรมเนียม : 1,000 บาท (ทั่วไป เพื่อเข้าครั้งเดียว)
นัดฟังผล : อีกสองวันทำการนับจากวันยื่น ในเวลาบ่าย 13.30 - 16.30 น.


ไอ้ข้างบนน่ะ ใครๆ ก็หาอ่านได้ง่ายๆ จากข้อมูลเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูต(เด๋วนี้คำว่า "ทูต" เขาใช้ตัว ท.ทหารกันแล้วค่ะ) คราวนี้ เรามาดูอะไรนอกเหนือจากนั้นกันดีกว่า

Q & A + Tips

1.ไปกับทัวร์แล้วให้บริษัททัวร์เขาจัดการทำให้เลยง่ายกว่าไหม
--> ก็ได้ค่ะ เขาจะพิมพ์ทุกอย่างมาให้หมด แค่เอกสารคุณครบก็ยื่นได้เลย แต่หากคุณอยากไปเอง เพราะจะถูกกว่า ได้ไปที่ๆ อยากไปมากกว่า ยื่นเองก็ไม่ยากค่ะ เพราะยังไง คุณก็ต้องเป็นคนเตรียมเอกสารเองอยู่ดี ทัวร์เขาแค่จัดการพิมพ์ให้ และบางครั้งก็ยื่นให้ด้วย

2. ต้องมีเงินในบัญชีแค่ไหนถึงจะพอ ?
--> หากคุณเป็นพนักงานบริษัท แค่มีจดหมายรับรองเงินเดือน บัญชีเงินเดือนที่มีเงินเดือนเข้าประจำ และเงินที่เพียงพอต่อการไปท่องเที่ยวของคุณก็พอแล้วค่ะ ไม่ต้องมีเป็นแสนๆ
ทัวร์หลายๆ ที่จะบอกว่า ต้องมีเงินสักประมาณ 1- 3 แสน ขอบอกว่า ไม่จริงค่ะ จากประสบการณ์ตรง มีเงินไนบัญชีเกือบ 5 หมื่น ดิฉันก็ขอวีซ่าไปได้แล้ว มีแค่นั้นแหละ...จริงๆ นะ... ไม่ได้ใช้สมุดบัญชีพ่อแม่ หรือหลักฐานทางการเงินอื่นใดเลยค่ะ
ย้ำ... หลักฐานใบรับรองเงินเดือนของคุณ ต้องระบุเงินเดือน ตำแหน่ง วันที่ลาพักร้อน ระยะเวลาที่ทำงานกับบริษัท
--> หากคุณเป็นเจ้าของกิจการ จดทะเบียนถูกต้องตรวจสอบได้ และก็มีเงินหมุนเวียนในบัญชีสม่ำเสมอ ไม่น้อยจนเกินไปก็พอค่ะ
--> หากคุณเป็นนักเรียน มีจดหมายจากทางมหาลัย ยืนยันชัดเจนว่าคุณเป็นนักศึกษาที่ไหน แล้วคุณได้เงินสนับสนุนจากไหน ครอบครัว พ่อแม่ อันนี้ก็แสดงให้ชัดๆ กันไปค่ะ

3. จะได้วีซ่ากี่วันคะ ?
--> วีซ่า มักจะได้กันที่ 90 วันนับแต่วันขอออกวีซ่า แต่ไม่ได้แปลว่าคุณจะอยู่ได้ 90 วันเสมอไปค่ะ ในวีซ่าจะระบุด้วยว่า ให้อยู๋ได้กี่วัน ซึ่งหากขอครั้งแรก และเที่ยวระยะสั้น ก็มักจะได้ที่ 15 วันค่ะ โดยเมื่อคุณมาถึง เจ้าหน้าที่จะถ่ายรูป ขอลายนิ้วมือ (กดนิ้วชี้ลงบนเครื่องแสกนลายนิ้วมือให้ดังปิ๊งป่อง! เป็นอันเสร็จเรียบร้อย) เจ้าหน้าที่จะแปะสติ๊กเกอร์ Landing Permission นับจากวันที่เรามาถึง ไปจนถึงระยะเวลาที่เราได้รับอนุญาตให้อยู่ในญี่ปุ่น

4. ขั้นตอนการยื่นยุ่งยากไหมคะ จะต้องเจออะไรบ้าง ?
--> เมื่อไปถึง กดบัตรคิว รอเรียก ยื่นเอกสาร เจ้าหน้าที่รับเอกสารอาจจะถามคุณนิดหน่อย ว่าไปทำอะไร ไปกับใคร ไปกี่วัน ถ้าเอกสารครบถ้วนดี เขาแทบจะไม่ดูรายละเอียดค่ะ เพราะคนดูรายละเอียดไม่ใช่คนที่รับเรื่องในวันที่เราไปยื่นค่ะ แล้วให้เรานั่งรอ รอสักพัก จะเรียกให้ไปรับใบนัดค่ะ
-->หากเอกสารครบถ้วนดี ในใบนัดจะนัดอีกสองวัน ในเวลาบ่าย เช่น คุณมายื่นจันทร์เช้า เขาจะนัดฟังผลบ่ายวันพุธ
-->หากเอกสารมีปัญหา เขาจะวงที่ช่องจะติดต่อสอบถามเพิ่ม หากคุณโดนวงอันนี้ ไม่ต้องใจเสีย เตรียมเอกสารให้ครบถ้วน ข้อมูลให้พร้อม ก็ไม่มีปัญหาค่ะ แต่วีซ่าคุณจะได้ช้าออกไปอีกหน่อยนุง
-->หลังจากนั้น เขาจะโทรติดต่อไปยังข้อมูลที่่คุณให้ทันทีค่ะ ที่นี่ทำงานกันรวดเร็วดั่งสายฟ้าแล่บแปล๊บ แปล๊บ.. พนักงานบริษัทจะโดนถามเรื่องเงินเดือน ระยะเวลาที่ทำงานกับบริษัท วันลาพักร้อน ลาพักร้อนโดนหักเงินไหม ได้รับอนุญาตให้พักร้อนหรือยัง เป็นต้น
--> ถึงวันนัด ก็ไปตามเวลา จ่ายเงิน และขอรับพาสปอร์ตคืน

5. เจ้าหน้าที่จะขอดูตั๋วเครื่องบินก่อนไหม
--> ไม่ค่ะ เขาไม่สนใจ ไม่ต้องออกตั๋วก่อนนะคะ รอได้วีซ่าค่อยไปออกตั๋วยังทัน

6. หญิงโสดขอวีซ่ายาก จริงไหม
--> จริงค่ะ เพราะสาวไทยขึ้นชื่อเรื่องค้าขาย(ขายอะไรคิดเอาเอง)ที่ญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ขนาดร้าน sex shop ใน Shinjuku ยังเปิดมิวสิคเพลงไทยหน้าร้าน เป็นอันรู้กันว่า นี่คือร้าน sex shop

6. หาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากไหน
--> นี่เลยค่ะ http://www.th.emb-japan.go.jp/th/consular/visa1.htm อ่านกันไปให้ฉ่ำปอด และหาดาวน์โหลดเอกสารต่างๆ พร้อมข้อมูลได้เลยค่ะ

พร้อมแล้ว สำหรับปี 53 หรือ 2010 นี้ ปลายเดือนมีนา - ต้นเมษา แพ็คกระเป๋า เตรียมไปชมซากุระบานกันได้เลยค่ะ


----------------------

Thursday, December 3, 2009

รู้ทันมิจฉาชีพ ตอนที่ 2 กระทรวงพาณิชย์คืนกำไร

ว่ากันด้วยเรื่องคนหลอกคนแล้ว น่ากลัวกว่าเจอผีหลอกเสียอีก การหลอกลวงยังไม่จบสิ้น ตอนนี้ จะเป็นเรื่องของเงินๆ ทองๆ อีกเช่นกัน แน่นอนล่ะ พวกมิจฉาชีพย่อมหวังทรัพย์สินเงินทองของท่านอยู่แล้ว

คราวนี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องของ บัตรเครดิตอีก แต่กลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ จะนำความน่าเชื่อถือของหน่วยงานรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง อ้างอิงหน่วยงานราชการเพื่อให้ท่านหลงกล และยอมบอกข้อมูลของท่าน

มิจฉาชีพเหล่านี้ จะเริ่มต้นแจ้งท่านทันทีที่รับสาย

Wednesday, December 2, 2009

รู้ทันมิจฉาชีพ ตอนที่ 1 เหยื่อบัตรเครดิต

ช่วงนี้ แก๊งค์หลอกลวงต้มตุ่นกำลังระบาดหนัก ออกมาตกทองบ้าง หลอกคนแก่บ้าง วันนี้ จะขอเตือนภัยสำหรับผู้มีบัตรเครดิต หรือไม่มีบัตรเครดิตแต่กำลังจะตกเป็นเหยื่อ

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับหลายท่านแล้ว ขออนุญาตนำมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้เราได้รู้ทันมิจฉาชีพ ไม่ตกเป็นเหยื่อง่ายๆ

แก๊งต้มตุ๋นหลอกลวงกลุ่มนี้ จะใช้วิธีการโทรศัพท์ติดต่อท่านมายังโทรศัพท์พื้นฐาน(โทรศัพท์บ้าน) หรือโทรศัพท์มือถือ เบอร์ที่โทรเข้ามานั้น จะไม่โชว์ หรือจะขึ้นว่า Private Number เมื่อท่านกดรับ จะเป็นเสียงเครื่องตอบรับอัตโนมัติ